วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

สิวอุดตัน สิวหัวขาว สิวหัวดำ คืออะไร

          สิวอุดตัน เรียกอีกอย่างว่าComedone เป็นชนิดของสิวที่พบเห็นมาก กว่า 70 %ของสิวทั้งหมด โดยพบได้ทุกกลุ่มอายุ ทุกเพศ แต่ส่วนมากจะเกิดในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว เกิดได้บ่อยแถวใบหน้า ช่วงคอ และลำตัว ซึ่งเป็นจุดที่มีต่อมไขมัน Sebaceous gland จำนวนมาก

      ต้นเหตุการเป็น สิวอุดตัน ต่อมไขมัน Sebaceous สร้างไขมันมากเกินไป โดยอาจเกิดจากสาเหตุ แอนโดรเจน ประเภท Testosterone ซึ่งควบคุมการเจริญเติบโตและการสร้างSebum สูงมากกว่าปกติ แล้วไขมันไปอุดตันในท่อไขมันสำหรับระบายไขมัน ออกสู่ผิวหนังด้านนอก เป็นต้นเหตุเกิดปัญหาสิวอุดตัน Sensitive skin มักพบเป็นต้นเหตุที่ทำให้เป็นสิวได้มากเช่นกัน ความผิดปกติของการลอกผิวในท่อขุมขนเอง จึงทำให้ท่ออุดตัน สิวจากเครื่องสำอาง ส่วนมากเกิดจากการใช้เครื่องสำอางบางประเภท ทำให้เกิดอาการแพ้ สิวจากสเตียรอยด์ มักเป็นในผู้ที่ใช้ครีมทาที่ผสมสเตียรอยด์ ในการดูแลผิวแพ้ หรือทานยา Prednislone เป็นประจำ เช่น คนเป็นโรคไต SLE สิวสามารถเกิดได้ถ้ามีความเครียดเป็นประจำ ฮอร์โมนมีการเปลี่ยน เช่น ในช่วงใกล้หรือหมดประจำเดือน

วิธีรักษาสิว เคล็ดลับหน้าใสไร้สิว

         วิธีรักษาสิว เคล็ดลับหน้าใสไร้สิว

                     วิธีรักษาสิว ในคนที่เป็นสิวไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่บางคนที่มีอาการอยู่ก็มักจะเป็นกังวลกันนักหนา ยามที่ตื่นขึ้นมาเจอสิวผุดขึ้นมาบนใบหน้า ขนาดที่ว่าไม่ยอมออกไปไหนเพราะกลัวมีคนเห็น มัวจะยุ่งอยู่แต่กับสิว คอยจับคอยแคะ หาโน่นนี่มาโปะ บ่นแล้วบ่นอีก เป็นอย่างนี้กันมากใช่มั้ย โดยข้อเท็จจริงแล้ว สิวเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้กับวัยรุ่นเป็นส่วนมาก แต่บางทีผู้ใหญ่ก็ยังมีสิวได้เช่นเดียวกัน ส่วนต้นเหตุที่ทำให้เป็นสิวนั้นมีมากมาย จากต้นเหตุทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเพศ การรักษาความสะอาด ความเครียด และอื่นๆ โดยทั่วไปแล้ว หากเราทำความสะอาดใบหน้าได้ถูกต้องแล้ว ปัญหาเรื่องสิวก็เป็นน้อยมาก เพราะจริงๆแล้ว การเกิดสิวเกิดจากการอุดตันของไขมันในรูขุมขน ซึ่งเกิดจากการทำงานของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือไม่ก็ได้ ชนิดสิวไม่อักเสบ ได้แก่ สิวเสี้ยน สิวหัวเปิด สิวผด ส่วนพวกสิวอักเสบ เช่น สิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวชนิดนี้อันตรายซึ่งอาจทำให้เกิดร่อยรอยได้ถ้าใช้วิธีรักษาสิวไม่ถูกวิธี

ดังนั้นถ้าอยากมีใบหน้าเนียนใสไร้สิว ลองอ่าน วิธีรักษาสิว เคล็ดลับหน้าใส ลองปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้

* สิ่งแรกคือรักษาความสะอาดของใบหน้าเป็นประจำ อย่างน้อยควรจะทำความสะอาดหน้าวันละ สองถึงสาม ครั้ง เพื่อลดความมัน เลือกผลิตภัณ์ให้ถูกต้องกับสภาพใบหน้า ควรใช้ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ จะได้ไม่ระคายเคืองผิว ควรใช้น้ำอุ่นล้างหน้า โดยน้ำอุ่นจะช่วยเปิดรูขุมขนและทำความสะอาดได้ดีขึ้น ทำให้สิวหายได้เร็วขึ้น

* ระหว่างที่เป็นสิว งดใช้ผลิตภัณฑ์ใส่ผมหรือเครื่องสำอางที่มีความมันสักช่วงหนึ่ง เพราะสารในผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ มักตกค้างอยู่แถวๆตีนผม และจะทำให้ระคายเคืองและเป็นสิวเพิ่มมากขึ้น

* เวลาเป็นสิว พยายามอย่าใส่ใจกับใบหน้ามากนัก โดยเฉพาะอย่าใช้มือที่ไม่สะอาดไปลูบหน้าเลยถ้าไม่จำเป็น อย่าแคะสิวเป็นอันขาด ซึ่งจะทำให้เป็นร่องรอยที่ดูแลได้ยาก

* งดคาเฟอีน ซึ่งคาเฟอีนมีฤทธิ์ให้ผิวคุณระคายเคืองได้ จนทำให้สิวหายได้ยากขึ้น และยังทำให้ผิวคุณดูโทรมอีกด้วยนะ

* ทานน้ำเยอะๆ เพราะผิวสุขภาพดีนั้นมาจากภายใน ดังนั้นการดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วขึ้นไปจะมีผลดีกับผิวมากๆ ทำให้ผิวคุณดูเปล่งปลั่งสดใส เพียงคุณทานน้ำมากๆให้เป็นนิสัยแล้ว รับรองว่าเจ้าสิวทั้งหลายไม่กลับมาอย่างแน่นอน

* อย่าปะทะลมแรงๆ อาจจะเป็นการใช้พัดลมเป่าใบหน้า หรือนั่งมอเตอร์ไซค์ก็แล้วแต่ เพราะนี่จะมีฝุ่นละอองภายในอากาศมาสัมผัสใบหน้า และเข้าไปอุดตันได้

* อย่าเครียด ซึ่งความเครียดนอกจากจะทำให้แก่แล้ว ยังทำให้หน้าเกิดสิวได้ง่ายๆ

* หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าจัด {เพราะ|ซึ่ง,จะทำให้เครื่องสำอางไปอุดตันรูขุมขน เรียกว่าถ้ายิ่งแต่งหน้าจัดเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เสี่ยงเป็นสิวมากเท่านั้น ดังนั้นควรแต่งหน้าบางๆจะดีกว่า
วิธีรักษาสิว ที่ดีควรดูแลสุขภาพโดยทั่วไปให้ดีอยู่เสมอด้วยการกินผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ และน้ำสะอาดให้พอเหมาะ รวมทั้งพยายามอย่าเครียดและไม่ควรนอนดึก นอนหลับให้เพียงพอเป็นดีที่สุด เท่านี้คุณก็จะได้ใบหน้าอันสดใสไร้สิว แต่ถ้าเป็นมากก็ควรไปหาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ ซึ่งจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
วิธีรักษาสิว เคล็ดลับหน้าใสไร้สิว

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

รักษาสิวด้วยวิธีแบบกัวซา ผนวกโภชนาการบำบัด

สิว หลายๆคนหนักใจเป็นกังวลกับคำนี้ เพราะว่ารักษาไม่หายสักทีวันนี้ผมมีบทความมาฝาก จาก doctorskinhouse  เป็นเรื่องของการรักษาสิวแบบกัว ซา แค่ชื่อหลายคนก็สงสัยแล้ว กัวซาคือการรักษาแบบจีนครับ  และผนวกกับการรักษาด้วยโภชนการบำบัด

"สิว" ตามหลักของศาสตร์แพทย์แผนจีนนั้น วินิจฉัยว่า สิวเกิดจากมีความร้อนไปอุดตันในเส้นลมปราณอวัยวะภายในร่างกายทั้ง 5 ได้แก่ หัวใจ ตับ ปอด ไต กระเพาะอาหาร จนไอพิษร้อนเหล่านี้สะสมและผลักดันพิษร้อนนั้นขึ้นสู่ผิวหน้า จนเกิดเป็นสิว ดังนั้นจึงมีวิธีบำบัดรักษาสิวด้วยวิธีกัวซา บวกกับโภชนาการบำบัดจากศูนย์ธรรมชาติบำบัดมาฝากผู้ที่เป็นสิวกัน

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นักวิจัยไทยสุดเก่ง สกัดบอระเพ็ดพุงช้างใช้รักษาสิว

นักวิจัยไทยสุดเก่ง สกัดบอระเพ็ดพุงช้างใช้รักษาสิว

              วันนี้ (24 ก.พ.2554) ทีมนักวิจัยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการค้นพบสารสกัดจากสมุนไพรบอระเพ็ดพุงช้าง พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางสำหรับรักษาสิวและทำความสะอาดช่องปาก ซึ่งมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเวชภัณฑ์จากต่างประเทศ นอกจากนี้ ทางสถาบันฯ ยังเตรียมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ให้แก่ผู้ประกอบการนำไปผลิตในเชิงพาณิชย์ต่อไป

สมุนไพรบอระเพ็ดพุงช้าง เป็นหนึ่งในผลงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาและเวชสำอาง ซึ่งทีมวิจัยค้นพบสารสกัด ที่มีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์และต้านอักเสบ เทียบเท่ากับสารมาตรฐาน เฟน – นิล – บิว – ตา- โซน ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองและเก็บรักษาได้นานกว่า 2 ปี

วิธีการสังเกตุสิว

ความเครียดอาจจะทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น   วัยรุ่นที่ไม่ล้างหน้าจะเสี่ยงต่อการเป็นสิว การล้างหน้าบ่อยๆ ไม่อาจทำให้สิวลดน้อยลงได้ เราสามารถลดการเกิดสิวได้โดยการรักษาความสะอาดบนใบหน้า การเกิดสิวนับเป็นเรื่องปกติในวัยรุ่น ที่มีการเปลี่ยนแปลงฮอล์โมนในร่างกาย สิวเป็นการอักเสบของระบบต่อมไขมัน (sebaceous) ในรูขุมขน ต้องดูแลหน้าให้สะอาดตลอดเวลา ห้ามแกะเกาหรือบีบสิวเอง เพราะทำให้การอักเสบเพิ่มขึ้น วัยรุ่นย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นสิวโดย การออกกำลังกายทำให้เหงื่อออกมาก จำเป็นต้องทำความสะอาดหน้าให้สะอาด การเป็นสิวในวัยรุ่นถือว่าแทบจะเป็นเรื่องปกติ หากเป็นสิวในระยะแรกไม่ควรแกะสิว เพราะจะเสี่ยงต่อการอักเสบของสิว

สิวมีหลายชนิดที่พบบ่อยๆ มี 2 ประเภท จึงพบสิวมากในวัยรุ่น การเป็นสิวมากผิดปกติ การรักษาสิวควรปรึกษาแพทย์เป็นการดีที่สุด เนื่องจากสิวอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือ ฮอร์โมน จนทำให้่สิวเกิดการอักเสบได้ แบททีเรียโดยเฉพาะชื่อ Propionibacterium acne จะทำให้เกิดการอักเสบของสิว ซึ่ง ปัจจุบันมีการใช้เลเซอร์รักษาสิว งดใช้เครื่องสำอางที่ทำให้เกิดสิว หรือเลือกเครื่องสำอางที่ถูกกับผิวหน้า วัยรุ่นจำเป็นต้องมีการดูแลใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ ยาบางชนิดทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น การนอนหลับไม่เพียงพอ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดสิว การมีสิวบนใบหน้านั้นอาจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บุคลิคภาพเสียไป โดนฝุ่นมากทำให้เกิดสิวได้ มีบริการรักษาสิวโดยตรงจากผู้ชำนาญการ ที่มือเครื่องมือที่ทันสมัย

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

ยาแก้สิวทำให้เป็นมะเร็งตับ

ยาที่เรารับประทานรักษาสิวมั่นใจหรือไม่ว่า ไม่มีผลข้างเคียง (Side Effect


              ยาที่เรารับประทานเพื่อรักษาสิวส่วนใหญ่ คือ ยากลุ่มกรดวิตามินเอ ซึ่งมีชื่อเคมีคือ Isotretinoin มีชื่อทางการค้าที่ขายในประเทศไทยคือ Roaccutane, Acnotin และ Isotane เป็นยารักษาสิวที่ใช้รักษาโรคสิวหัวช้าง สิวที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ สิวอักเสบเรื้อรังที่ทำให้จมูกผิดรูปร่าง สิวที่ทำให้เกิดแผลเป็นมาก ๆ และสิวในผู้ป่วยที่มีอาการวิตกกังวลเกินเหตุ

ยารักษาสิวตัวนี้จะทำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์เด็ก จะทำให้เด็กในครรภ์พิการ ผู้ที่ได้รับยาจึงต้องคุมกำเนิดก่อนรับประทานยานาน 1 เดือน และคุมกำเนิดระหว่างรับประทานยา ต้องหยุดยาล่วงหน้า 1 เดือนถึงจะตั้งครรภ์ได้ ต้องไม่บริจาคเลือดระหว่างรับประทานยาตัวนี้ ยาตัวนี้ต้องรับประทานต่อเนื่องกันนาน คือ ต้องรับยาจนได้ขนาดยาสะสมที่ 120 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ถ้าเรา 50 กิโลกรัม ก็ต้องทานยาจนได้ยาสะสมเท่ากับ 120 X 50 คือ 6,000 มิลลิกรัมนั่นเอง
ถ้าทานวันละ 20 มิลลิกรัม ก็ต้องรับประทานต่อเนื่องกันนาน 300 วัน ยาตัวนี้ทำให้ริมฝีปากแห้ง ตาแห้ง ผิวแห้ง บางคนอาจมีเลือดกำเดาไหล ในบางรายอาจทำให้ตับอักเสบได้จริง และอาจทำให้มีไขมันในเลือดสูง
พบว่ายารักษาโรคผิวหนังหลายตัวมีผลเสียต่อตับ จึงต้องควรระมัดระวังไม่ใช้ยาเหล่านี้โดยไม่จำเป็น หรือต้องคอยตรวจการเปลี่ยนแปลงทางห้องปฏิบัติการของตับอยู่เสมอ เช่น
  • ยา methotrexate ที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน อาจทำให้ตับแข็งได้
  • ยากลุ่มกรดวิตามินเอที่ใช้รักษาโรคสิวและโรคสะเก็ดเงิน อาจมีพิษต่อตับและทำให้มีค่า เอนไซม์ตับสูงขึ้นได้
  • ยา minocycline ที่ใช้รักษาโรคสิวอาจทำให้ตับอักเสบได้
  • ยา griseofulvin , ketoconazole , terbinafine ที่รักษาการติดเชื้อราและยีสต์ของผิวหนัง อาจมีพิษต่อตับได้
ดังนั้นก่อนทานยา เราควรจะศึกษาให้ดีก่อน จะได้ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน
 

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

สาเหตุของการเกิดสิว

สาเหตุของการเกิดสิว วิธีการรักษาสิว

                   สิวเป็นการอักเสบของระบบต่อมไขมัน (sebaceous) ในรูขุมขน ปกติไขมันที่สร้างจากต่อมไขมันจะออกมาตามเส้นขน หากมีการอุดตันของทางเดินก็จะทำให้เกิดสิว สิวมีหลายชนิดที่พบบ่อยๆได้แก่ สิวธรรมดาหรือที่เรียกว่า Acne vulgalis สิวหัวดำ สิวที่มีการอักเสบเป็นหนอง บางรายมีตุ่มหนองด้วย

สาเหตุของสิว

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวได้แก่
  • ฮอร์โมน ร่างกายสร้างฮอร์โมน Androgen ทำให้มีการสร้างไขมันเพิ่ม โดยมากฮอร์โมนจะเริ่มสร้างเมื่ออายุ 11-14 ปีดังนั้นจึงพบสิวมากในวัยนี้และอาจจะอยู่ได้นานหลายปี
  • การผลิตไขมันมากขึ้นและร่วมกับเซลล์ผิวหนัง และเชื้อแบทีเรียทำให้เกิดการอุดตันจนเกิดสิว
  • มีการเปลี่ยนแปลงของรากผม รากผมเจริญเร็วเซลล์มีการแบ่งตัวเร็ว และมีเซลล์ที่ตายมาก จึงเกิดการอุดตันของต่อมไขมัน
  • แบททีเรียโดยเฉพาะชื่อ Propionibacterium acne จะทำให้เกิดการอักเสบของสิว

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวมากน้อยมีอะไรบ้าง
  • กรรมพันธ์
  • การทำงานของต่อมไขมัน หากที่ใดที่มันและร่วมกับการดูแลรักษาความสะอาดไม่ทั่วถึงก็ทำให้เกิดสิว
  • อาหารโดยทั่วไปไม่มีผลต่อการเกิดสิว แต่ก็มีความเชื่อกันว่าการรับประทานอาหารที่มัน หรือหวานจะเกิดสิวได้ง่าย
  • อากาศ ขึ้นกับแต่ละคนบางคนเป็นมากในฤดูหนาว บางคนฤดูร้อน
  • อารมณ์ คนที่อารมณ์ดีจะเกิดสิวน้อยกว่าคนที่อารมณ์เสีย
  • การใช้เครื่องสำอางค์เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิดสิว การเลือกสบู่ที่เหมาะกับสภาพผิวหนัง คนที่มีแห้งควรจะใช้สบู่ที่เป็นด่างอ่อน คนที่ผิวมันก็อาจจะใช้สบู่ที่มีความเป็นด่างมากขึ้นได้ หรืออาจจะใช้สบู่ที่มีด่างอ่อนแต่ล้างหน้าบ่อยขึ้น
  • ครีมบำรุงผิวก็ต้องเลือกใหถูกกับผิวหน้า คนที่ผิวแห้งไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอร์เป็นส่วนประกอบ คนที่ผิวมันก็หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีไขมันสูง
  • การระคายผิว เช่นการล้างหน้าที่มีการถูมาก หรือการบีบสิว
  • ยาบางชนิดทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น เช่น INH Iodides Bromide Steroid Testosterone Gonadotropine Anabolic steroid ยาคุมกำเนิด
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิว
  • สิวเกิดจากความสกปรกของใบหน้าใช่หรือไม่ หากคุณเชื่อว่าสิวเกิดจากความสกปรกคุณจะล้างหน้าบ่อยและล้างแรงซึ่งจะทำให้หน้าสูญเสียไขมัน และความชุ่มชื้น และเกิดระคายเคืองบนใบหน้าทำให้เกิดสิวมากขึ้น สิวมิใช่เกิดจากความสกปรกแต่เกิดจากเซลล์ที่ตายของผิวหนัง และสิ่งสกปรกร่วมกับไขมัน วิธีที่ถูกต้องให้ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งและซับเบาๆด้วยผ้า
  • สาเหตุของสิวส่วนใหญ่เกิดจากเครื่องสำอางที่ใช้
  • การรักษาสิวต้องใช้เวลา ควรปรึกษาแพทย์มนรายที่เป็นมากหรือไม่หาย
  • ความเครียดอาจจะทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
  • สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิสิว เช่นความสกปรก ละอองไขมันจากการปรุงอาหาร น้ำมันเครื่องเป็นต้น
สิ่งที่ต้องระวังในการรักษาสิวสำหรับคนท้อง
  • อนุพันธ์ของวิตามินเอทั้งชนิดกินและทา เพราะอาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์
  • ยาคุมกำเนิด
  • ยาปฏิชีวนะกลุ่ม tetracyclin

สาเหตุของการเกิดสิว วิธีการรักษาสิว

ยาสำหรับรักษาสิว

ยาสำหรับรักษาสิว วิธีการรักษาสิว

                      ยารักษาสิว มีทั้งชนิดทาภายนอกและชนิดรับประทาน สิวชนิดไม่รุนแรงหรือไม่มีการอักเสบมักจะใช้ยาทาภายนอก อาจจะใช้ชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดร่วมกัน ยารักษาสิวมักจะทำให้อาการดีขึ้นแต่ไม่หายขาด ยาที่ใช้รักษามีดังนี้


สบู่และน้ำ

การใช้สบู่อ่อนหรือสบู่ที่เป็นกลางหรือสบู่สำหรับใช้กับเด็กล้างด้วยน้ำสะอาดวันละ 2-3 ครั้งอย่าให้มากกว่านี้เพราะจะทำให้แห้งไปและอาจจะเกิดปัญหากับผิวหนังได้ สบู่ที่ใช้ไม่ควรจะเป็นด่างมากเกินไป และไม่ควรที่จะถูแรงๆเพราะจะทำให้ผิวหนังพกช้ำและเกิดปัญหา


Benzoyl peroxide

เป็นชนิดครีมหรือเจล 2.5% 5% 10% เมื่อทายาไว้บนผิวหนังปริมาณเชื้อและไขมันบนผิวหนังจะลดลง ยานี้จะมีระคายเคืองต่อผิวหนังจะทำให้ผิวหนังลอกหลุดเร็วขึ้น ทำให้ปริมาณหัวสิวลดลง ในระยะแรกของการใช้ยาอาจจะทำให้ผิวหนังแดงอักเสบจึงควรจะเริ่มใช้ยาในขนาดความเข็มข้นต่ำๆ ทาระยะเวลาสั้นเช่น 5-10 นาที แล้วล้างออก เมื่อผิวหนังทนต่อยาจึงเพิ่มความเข้มข้น และทาไว้นานขึ้นจนไม่ต้องล้างออก ทาวันละ 2 ครั้งเมื่อทาตามบริเวณลำตัวอาจจะทำให้สีเสื้อจางลง


salicylic acid

กรดนี้จะช่วยละลายขุยทำให้สิ่งสกปรกหลุดออก แต่จะไม่ช่วยในการลดการสร้างไขมัน ยานี้จะต้องใช้อย่างต่อเนื่องเมื่อหยุดยาก็จะกลับเป็นใหม่

Sulfer

เป็นยาที่ใช้กันมาตั้งแต่แรกเริ่ม โดยมากต้องผสมกับสารชนิดอื่น เช่น alcohol,salicylic acid,resorcinol ยาชนิดนี้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ยาทาส่วนใหญ่ก็มีตัวยานี้ผสม
สำหรับสมุนไพรหรือสารธรรมชาติก็ยังไม่มีหลักฐานว่าได้ผลสำหรับยาที่ควรจะปรึกษาแพทย์ไม่ควรจะซื้อยาเองได้แก่

ยาทา
ยาทาที่เป็นปฏิชีวนะ
  • Azelaic acid ยานี้จะลดประชากรของเชื้อ Propionibacterium และละลายขุย ยานี้ทำเป็นรูปครีม อาจจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน
  • erythromycin solution 1-4% ออกฤทธิ์โดยการต้านเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ เมื่อใช้ร่วมกับ Bebzoyl peroxide จะทำให้ได้ผลดี
  • Clindamycin phosphate solution 1%
  • Tetracyclin เป็นยาทาตัวแรกๆที่ได้มีการนำมาใช้ทาเพื่อรักษาสิว แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมลดลงเนื่องจากผลข้างเคียงของยา
  • Sulfonamide ทำเป็นรูปสารละลายซึ่งยังมีการใช้ยาชนิดนี้อยู่
ยาทาชนิดอื่น
  • อนุพันธ์ของกรดวิตามินเอTretinoin เป็นยารักษาสิวที่ให้ผลค่อนข้างดีชนิดยาทาภายนอน ยาตัวนี้เป็นยาละลายขุยซึ่งทำเป็นรูปครีมหรือเจลความเข้มข้น 0.01-0.1% ยานี้จะมีอาการระคายเคืองต่อผิวหนังทำให้ผิวหนังแดง แห้ง ลอกเป็นขุยดังนั้นจึงต้องทายาในขนาดความเข้มข้นต่ำๆ เมื่อใช้ร่วมกับ Benzoyl peroxide ให้ใช้ Benzoyl peroxide ทาในตอนเช้า ส่วนวิตามินเอให้ทาก่อนนอน
  • Adapalene เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ มีผลข้างเคียงเหมือนอนุพันธ์วิตามินเอ
  • Tazarotene เป็นสารสังเคราะห์วิตามินเอ
ยารับประทาน
ยาปฏิชีวนะ
  • Tetracyclin เป็นยาที่ใช้รักษาสิวตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันมักจะให้ในรายที่ผู้ป่วยเป็นสิวค่อนข้างมากตั้งแต่สิวที่เป็นหนอง โดยเริ่มต้น 500-1000 มิลิกรัมต่อวัน เมื่อดีขึ้นจึงลดขนาดของยาลง และอาจจะต้องให้ยาในขนาดต่ำเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ไม่ควรให้ยานี้ในเด็กและคนท้อง
  • Erythromycin สำหรับผู้ที่ใช้ tetracyclin ไม่ได้เช่น เด็ก คนท้อง คนที่แพ้ยา tetracyclin
  • Minocycline Doxycycline เป็นยาสังเคราะกลุ่ม tetracycline ห้ามใช้ในคนท้อง
ฮอร์โมน
  • estrogen เป็นฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนทำให้มีการสร้างไขมันลดลง แต่การใช้ต้องระวังผลข้างเคียงเช่นมะเร็งเต้านม
  • ยาคุมกำเนิด นิยมใช้รักษาสิวมากกว่า estrogen เดี่ี่ยวๆเนื่องจากผลข้างเคียงต่ำกว่า อาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน คัดเต้านม การใช้ยาคุมเมื่อการรักษาวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
Steroid

จะใช้ในกรณีที่เป็นสิวมาก ควรจะใช้ในระยะเวลาสั้นๆ เพราะหากใช้ในระยะเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อน

Isotretinoin

เป็นยาที่ใช้ได้ผลสำหรับสิวที่ดื้อต่อยาหรือการรักษา เหมาะสำหรับสิวหัวช้าง cystic acne ยาชนิดรับประทาน Isotretinoin ใช้รักษาสิวชนิดดื้อต่อการรักษาชนิดอื่น ยานี้จะทำให้ไขมันและเชื้อลดลงจึงไม่เกิดสิว ยานี้มีผลข้างเคียงมากจึงไม่แนะนำให้ซื้อรับประทานเอง ผลข้างเคียงที่พบได้คือปากแห้ง ผิวแห้งแตก ผมร่วงปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ สำหรับคนท้องก็อาจจะทำให้เด็กเกิดมาพิการและแท้ง ผลข้างเคียงอื่นๆที่พบได้แก่ คลื่นไส้อาเจียนปวดข้อปวดกระดูก ปวดหัว การใช้ยานี้ต้องคุมกำเนิด และหากต้องการตั้งท้องต้องหยุดยานี้

ขอขอบคุณ www.siamhealth.ne

ยาสำหรับรักษาสิว วิธีการรักษาสิว

ความรู้เบื้องต้นในการป้องกันการเกิดสิว

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเกิดสิว การรักษาสิว การป้องกันการเกิดสิว
ปัจจัยที่พบว่ามีผลให้เกิดสิวหลังช่วงวัยรุ่น (adult acne)

-ยาคุมกำเนิดที่มีระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูง

- ความเครียด
- วัยหมดระดู
- ความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ เช่น ซีสต์รังไข่
- ยาบางชนิด เช่นยาสเตียรอยด์ ยารักษาโรคทางจิตเวชบางตัว
- เครื่องสำอางค์
- การสัมผัสนํ้ามันบางอย่างเช่น นํ้ามันใส่ผม
- พันธุกรรม




ทำอย่างไรเมื่อมีสิว ?


ข้อปฏิบัติทั่วไป


- ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน วันละ ๑ ถึง ๒ ครั้ง อย่าขัดถูหน้าแรงๆ จะทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น การล้างหน้าบ่อยไม่ได้ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นเพราะสิวไม่ได้เกิดจากความสกปรก
- หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น อย่าบีบ หรือ แกะสิว อย่าใช้มือที่ไม่สะอาดไปถูกต้องบริเวณใบหน้า
- สระผมให้สะอาด ถ้าเส้นผมมัน คุณมีโอกาสเกิดสิวบริเวณไรผมได้ง่าย
- ถ้าคุณใช้เครื่องสำอางค์ เลือกใช้ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน (non-comedogenic)
- หลีกเลี่ยงความเครียด




การใช้ยาทา


- คุณอาจลองใช้ยาที่มีส่วนประกอบของ benzoyl peroxide ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ยานี้ช่วยลดจำนวนเชื้อแบคทีเรีย ใช้ได้ดีในสิวที่ตื้นๆ แต่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งและลอกได้ ยานี้มีหลายความเข้มข้น ควรเลือใช้ความเข้มข้นที่ตํ่าๆก่อน เช่น ในรูปครีม ๒.๕ เปอร์เซนต์ และทาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิว วันละ ๑ ถึง ๒ ครั้ง


- การใช้สารจำพวก AHA,BHA ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนได้ (comedolytic) ค่ะ


กรณีมีสิวขึ้นที่หลังหรือหน้าอกทางที่ดี แนะนำให้อย่าไปแกะหรือเกาค่ะ แนะนำให้รักษาความสะอาดของร่างกาย กรณีที่แกะเกาจะกระตุ้นให้เกิดรอยดำมากขึ้น ทางที่ดีแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทางด้านโรคผิวหนังเพื่อทำการตรวจหาสาเหตุของการเกิดสิวพร้อมทั้งให้การรักษาอย่างถูกต้องค่ะ หากพยายามด้วยตนเองแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ควรพบแพทย์เพื่อการรักษาค่ะ


                 ข้อแนะนำ สำหรับคุณผู้ที่มีสิวจากผิวมัน

1.เลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (Oil Free)
2.ควรมีและใช้กระดาษซับมันในระหว่างวัน หรือถ้าเขินก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าก็ได้ค่ะ
3.อาจล้างหน้าบ่อยๆวันละ 3-4 ครั้ง แต่ไม่ควรใช้สบู่แรงๆเพื่อลดความมันเพราะไม่นานผิวหน้าก็จะขับความมันออกมาอีกและอาจทำให้ผิวหน้าระคายเคืองได้ จึงควรใช้สบู่อ่อนๆและไม่มี Moistur
4.ควรสระผมทุกวัน
5.ใช้สครับขัดหน้าสัปดาห์ ละ 2-3 ครั้ง สำหรับท่านที่ใช้ รถมอร์เตอร์ไซด์เป็นประจำควรใช้มากกว่านั้น
6.ปรับสภาพผิว สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
7.ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับคนผิวมัน 

         
             หวังว่าผู้ที่ทำตามวิธีที่เรานำมาให้แล้วสิวจะหายน่ะคะ

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเกิดสิว การรักษาสิว การป้องกันการเกิดสิว

วิธีรักษาสิวด้วยว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้ช่วยรักษาสิว

วิธีรักษาสิวด้วยว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้ช่วยรักษาสิว


วิธีใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวเพื่อผิวพรรณที่เนียนสวยอยู่เสมอทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

ใช้น้ำว่านหางจระเข้ล้างหน้าขจัดความกร้านเพื่อผิวเนียนสวย
          การใช้น้ำว่านหางจระเข้ล้างหน้า ให้ใส่เพียง 2-3 หยดก็พอถ้าเป็นในช่วงเร่งรีบอาจบีบเอาน้ำจากใบว่านสดเลยก็ได้ เมื่อผสมน้ำว่านหางจระเข้กับโฟมล้างหน้าแล้ว ให้ถูจนเป็นฟอง แล้วเริ่มล้างหน้าได้ สำหรับผู้มีผิวมันและมีเหงื่อมาก ในฤดูร้อน อาจใช้แปรงช่วยล้างหน้าด้วยก็ได้
ใช้เนื้อวุ้นของว่านหางจระเข้ช่วยสมานผิวหลังล้างหน้า

          ล้างว่านหางจระเข้สะอาด ฝานเอาหนามแหลมออก แล้วค่อยปลอกเปลือก เอาแต่เนื้อวุ้นข้างในไว้ใช้ ล้างหน้าให้สะอาดแล้วนำเนื้อวุ้นมาทาใบหน้า เพื่อบำรุงผิวหน้า ทาไปเรื่อย ๆ จนกว่าเนื้อวุ้นจะไม่มีน้ำ เหลือแต่เส้นใย ก็ให้หยุดทา แล้วรีบล้างออกโดยเร็ว นอกจากนี้ยังอาจใช้กับโลชั่นที่ใช้เป็นประจำ โดยหยดน้ำว่านหางจระเข้สัก 2-3 หยดลงในโลชั่นก็เป็นอันใช้ได้
ใช้เนื้อวุ่นว่านหางจระเข้รักษาสิวและตุ่มพอง

          ว่านหางจระเข้จะช่วยลดการอักเสบของสิวและสลายพิษของเชื้อโรค อีกทั้งเมื่อสิวหายก็จะไม่เกิดเป็นรอยสิวขึ้นด้วย ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาที่หัวสิวหรือจะตัดเนื้อวุ้นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปิดไว้ที่หัวสิวแล้วจึงใช้ผ้าก๊อซปิดทับไว้ก่อนเข้านอนก่อนก็ได้

          ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยสมานผิว และบำรุงรักษาผิว ช่วยรักษาน้ำและไขมันใต้ผิวให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ ขจัดการแตกแห้งของผิว ขจัดสิ่งสกปรก ไขมันและเซลล์ที่ตายแล้วบนผิว ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลยิ่งขึ้น ใบว่านหางจระเข้สด ๆ ใบจะมีสรรพคุณเป็นได้ทั้งเครื่องสำอางประเภทโลชั่นและน้ำนม ใช้ได้ทั้งผิวแห้งและผิวมัน

          นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังมีสรรพคุณช่วยให้ผิวหนังหดตัว จึงช่วยป้องกันมิให้ผิวอักเสบและป้องกันการทำลายจากรังสีอุลตร้าไวโอเลต รวมทั้งฆ่าเชื้อโรคได้ด้วย ทั้งยังมีข้อดีอีกหลาย ๆ อย่าง เช่น ช่วยให้ผิวดูเนียนสวยอ่อนวัย กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ขจัดสิว ลบรอยย่น และจุดด่างดำบนใบหน้าได้ดีอีกด้วย

          ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณมากมายดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงเสมือนเครื่องบำรุงความงามที่ธรรมชาติให้มา และสารที่ออกฤทธิ์ในว่านหางจระเข้ยังซึมซาบเข้าสู่ผิวได้รวดเร็ว จึงมีผลในการบำรุงรักษาผิวได้ดีทุกวัน

         แต่สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ให้ทำการทดสอบก่อนว่าใช้เนื้อวุ้นว่านได้หริอไม่ โดยมีวิธีทดสอบคือ ตัดเนื้อวุ้นว่านขนาด 3 ซ.ม. ปิดไว้ตรงแขนด้านใน (หรือทาที่ท้องแขนด้านใน) จากนั้นปิดทับด้วยผ้าก๊อซและกระดาษไข เพื่อให้เนื้อวุ้นติดอยู่ ถ้าไม่มีอาการแดงหรือคันในเช้าวันรุ่งขึ้น แสดงว่าใช้เนื้อวุ้นว่านได้

วิธีรักษาสิวด้วยว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้ช่วยรักษาสิว

ที่มา http://www.school.net.th/schoolnet/article/read.php?article_id=531

พารา กับ ยารักษาสิว

วิธีรักษาสิว  แอสไพรินกับการรักษาสิว -=Byหมอแมว=-



เมื่อไม่นานมานี้ กระแสการรักษาความงามในinternet ได้มีแนวทางการรักษาสิวแบบใหม่(จริงๆเก่า) ออกมา นั่นคือ การรักษาสิวด้วยการใช้ยา"แอสไพริน"
แอสไพริน ยาที่ทางการ แพทย์ ใช้เป็นยาลดอาการอักเสบและกินป้องกันเส้นเลือดหัวใจอุดตันเม็ดละ50สต.แหละครับ

ปัญหาที่เกิดตามมาคือ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาปากต่อปาก บางครั้งทำให้มันดูลึกลับ ดูเหมือนกับเป็นการรักษาแบบใหม่ ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่
แต่มันเป็นวิธีการที่ใช้กันมานานแล้วใน วงการ ความงามเพียงแต่ไม่ได้ทำอย่างที่ในinternetเล่า
อีกปัญหานึงคือในการรักษาแบบ"มหัศจรรย์ราคาถูก"ในinternet ไม่ได้บอกที่มาที่ไป และเล่าแต่ด้านดีเพียงด้านเดียว ... ผมจึงเห็นว่าสมควรที่จะต้องเอาความรู้เรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังให้ชาวMthaiได้รู้กันไว้

ปัญหาเรื่องสิว เป็นปัญหาที่วัยรุ่นส่วนใหญ่จะได้เจอ สาเหตุหลักๆของสิว มีอยู่สองสามอย่างได้แก่ 1. การติดเชื้อ(โดยเฉพาะเชื้อ P. acne) 2. รูขุมขนอุดตัน 3. ฮอร์โมน
ดังนั้น เวลาคุณไปรักษาที่คลินิกความงาม คุณมักจะได้ยา3-4พวกได้แก่

- กลุ่มยา ฆ่า เชื้อ
ที่เจอบ่อยๆ ClindaM หรือยา Clindamycin ... บางคนก็จะได้ยาพวก Doxycyclineมากิน .... โดยทั่วไปแล้วทางสถานเสริมความงามจะจ่ายยาที่เป็น Broad spectrum antibiotic หรือยา ฆ่า เชื้อที่ออกฤทธิ์กว้างขวาง ฆ่า เชื้อได้สัพเพเหระ
- กลุ่มผลัดเซลล์ผิว
เช่น Retin A เร่งให้เซลล์เก่าถูกผลัดไป เซลล์ใหม่ขึ้นมาแทน
- กลุ่มกัดเซลล์ผิวเก่า (แก้รูขุมขนตัน)
เช่น BHA, AHA, Benzoyl Peroxide พวกนี้จะไปกัดเอาผิวที่ตายแล้วออกไป ทำให้ผิวอ่อนๆข้างล่างเด่นขึ้น รวมทั้งกันไม่ให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
- กลุ่มฮอร์โมน
เช่นยาคุม (ซึ่งถ้าจะให้บอก ผมไม่มีความรู้ทางด้านยาคุมกับการรักษาสิวเลยครับ)

ซึ่งหลายคนไม่อยากเสียเงินกับการรักษาพวกนี้ ก็จะมีวิธีที่ใช้กันมานานนมแล้ว คือ ฝานผลไม้แปะหน้าเช่นแตงกวา ส้ม มะนาว ..... บางคนไปพลิกดูส่วนผสมที่หลังขวด ยารักษา สิว ไปเห็นว่ามีsalicylic acid หรือ aspirin ก็ลองเอามาทดลองดู
ซึ่งความจริงแล้วกลุ่มยาที่มีส่วนทำให้ผิวหน้าดูดีพวกนี้ก็มี BHA AHAครับ
AHA เป็นพวกกรดกลุ่มต่างๆ เช่น
Malic acid กรดในแอปเปิ้ล
Citric กรดที่เจอในพวกกลุ่มผลไม้ซิตรัส เช่นส้มมะนาว
Tartaric acid กรดที่มีในองุ่น และ กล้วย
Lactic acid กรดที่ได้จากพวกนมเปรี้ยว (555)
... มันมีอีกตัวสองตัว ลืมไปแล้ว
BHA มีตัวเดียวคือ salicylic acid

ในทางการ แพทย์ เราใช้สารกลุ่มนี้ในการรักษาหน้า ซึ่งสรรพคุณของมันคือการทะลวงเข้าไปในชั้นผิวหนังส่วนบนหรือที่เรียกว่า Epidermis จากนั้นก็จัดการกัดทำลายและทำให้มันหลุดออกจากกัน
เรียกง่ายๆว่าเป็นการขัดขี้ไคลโดยไม่ต้องออกแรง ใช้น้ำยาไปกัด
ในทางการ แพทย์ ก็มีการใช้สารพวก AHA BHA และกรดบางชนิดในการทำความสะอาดผิวหน้า

สูตรความงามของคนทั่วโลก ก็มีการเอาผลไม้ต่างๆมาฝานตัดแปะหน้า
แตงกวา มะนาว ส้ม กล้วย Fruit salad นมเปรี้ยว บัวหิมะ ฯลฯ .... ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ส่วนหนึ่งมันก็คือAHAที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งโดยปกติจะมีอยู่ในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำจนใช้ได้ปลอดภัยไม่ทำลายผิวหน้า

สำหรับการใช้salisylic acid ก็มีการใช้มานานแล้วครับ อยู่ในสูตรยาของร้านเสริมความงามทั่วไปและคลินิกความงาม บางทีเหนือกว่าaha เรื่องความระคายเคือง เพราะว่ามันเป็นยาลดอาการอักเสบด้วย เวลาใช้จะรู้สึกว่าไม่กัดมาก

สรุปข้อแรก ********* การใช้ยาแอสไพริน จึงได้ผลจริง ************

แต่ รู้ไหมครับ ทำไมเราไม่ใช้กันบ่อย
สารพวกนี้ เป็นสารควบคุม พวกกลุ่มสารที่ทำหน้าเด้ง เบบี้เฟส AHA จะมีการควบคุมการนำเข้า ...แต่สำหรับ BHA คุมยากจนถึงคุมไม่ได้ เพราะว่าแอสไพรินเป็นยาสามัญที่ใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและเป็นกลุ่มยาลดไข้แก้ปวดตัวนึง

ถามว่าทำไมต้องคุม
เพราะถ้าใช้ไม่เป็นหน้าจะพัง

สารพวกนี้ ตอนใช้แรกๆจะได้ผลดีมาก ใช้ปุ๊บมันจะทะลวงเข้าไปกำจัดขี้ไคลที่หมักหมมจำนวนมากจากหน้า วันแรกที่ใช้จะรู้สึกหน้าเด้งตึง หลังจากนั้นไม่มีขี้ไคลแล้ว ก็จะรู้สึกพอๆเดิม
แต่ถ้าใช้ติดต่อกันนานไป หรือผสมผิดสูตรเข้มเกิน หรือทาทิ้งไว้นานเกินไป มันจะกัดหน้าครับ
แทนที่จะกัดขี้ไคล มันจะกัดหน้าเนียนๆเข้าไปด้วย
อย่างเบาะๆก็ตึงเจ็บอักเสบ
ถ้าโชคไม่ดี กัดจนหน้าเป็นรอยด่างขาว vitiligo เป็นอันจบเห่ เพราะถ้าเกิดด่างขาวขึ้นก็คือกัดเข้าถึงชั้น dermisส่วน melanocyteหรือเซลล์ที่สร้างเม็ดสีผิว .... กว่าจะหายได้ก็ใช้เวลาเป็นปี
ปัญหานี้จะไม่ค่อยพบใน เครื่องสำอางค์ เพราะว่าส่วนผสมเขาศึกษามาแล้ว ความเข้มข้นก็ไม่ค่อยสูง และก็มีวิธีการใช้ที่ค่อนข้างแน่นอนระบุไว้

สรุปข้อสอง ***************** ถ้าผสมผิดหรือใช้ไม่ถูกวิธี หน้าพัง Chipหายวายป่วง ************

โดยสรุปแล้วสารเหล่านี้ ไม่ใช่สารพิเศษอะไรเลย เป็นสิ่งที่มีอยู่รอบตัวเราในปัจจุบัน ไม่ว่าจะAHAซึ่งมีในผลไม้และอาหารทั่วไป หรือจะเป็นBHAซึ่งก็หา ซื้อ ได้ในราคาถูก
เพียงแต่ว่าการจะนำมาใช้ใน เครื่องสำอางค์ หรือเวชสำอางค์ ได้รับการค้นคว้าวิจัยปรับปรุงความเข้มข้นและศึกษาการดูดซึมและมีการใช้ที่แน่นอน ... ซึ่งผลก็คือ ราคาของมันจึงสูงตามไปด้วย
ดังนั้นอ่านแล้วขอให้นำไปตรึกตรองครับ
ถ้าอยากสวยอยากงาม ความเสี่ยงต่ำ ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่อาจจะแพงสักหน่อย
แต่ถ้าไม่อยากเสียเงินมาก แต่หวังผลมากอย่างเช่นการใช้แอสไพริน ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น

เครดิต - หมอแมว by เอ็มthai